ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
(Interpersonal
Theory)
ของ
Harry
Stack Sullivan
ผู้เริ่มทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
คือ Harry
Stack Sullivan (1892-1949) Sullivan เริ่มต้นศึกษาเรื่องจิตวิเคราะห์และพัฒนาต่อเป็น
Interpersonal Theory โดยมีแนวคิดที่ต่างจาก Freud ตรงที่ Sullivan เน้นว่า พฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจากการที่บุคคลมีสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นในสังคม
Sullivan กล่าวว่า
มนุษย์เป็นผลผลิตของการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคม การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความต้องการของบุคคลและบอกทิศทางของการเจริญเติบโต
Sullivan เชื่อว่า ประสบการณ์ชีวิตในวัยต้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อสุขภาพจิตของบุคคลในวัยหลังของชีวิต
ประสบการณ์ที่สำคัญก็คือ ความวิตกกังวล
ซึ่งได้รับจากการเลี้ยงดูในวัยเด็กและสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
ลักษณะของทฤษฎี
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลเชื่อว่า
บุคคลถูกกระตุ้นเพื่อไปสู่เป้าหมาย 2 ประการ คือ
1. เป้าหมายเพื่อไปสู่ความพึงพอใจ
(satisfactions) ซึ่งเน้นที่ความต้องการทางสรีรวิทยา เช่น
ความหิว การนอนหลับพักผ่อน ความต้องการทางเพศ เป็นต้น
2. เป้าหมายเพื่อไปสู่ความมั่นคง
(security) เป็นความต้องการเพื่อความคงอยู่อย่างมีความสุข
ต้องการการยอมรับในสังคม ซึ่งเกิดจากการมีสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
ความต้องการทั้ง 2 ด้านนี้ มีความสัมพันธ์กัน
ถ้าบุคคลได้รับตอบสนองอย่างเพียงพอทั้ง 2 ด้าน
บุคคลก็จะไม่เกิดความวิตกกังวล
แนวคิดหลัก
แนวคิดหลักของ Sullivan
เน้นความวิตกกังวลและระบบตน (Anxiety and the Self-System) โดยกล่าวว่า ความวิตกกังวล
เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดจากความรู้สึกไม่ได้รับความมั่นคงปลอดภัย
และความพึงพอใจทางสรีรวิทยา ก่อให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวล
ซึ่งเกิดและแสดงออกได้ดังนี้
ประการที่ 1 ความวิตกกังวลที่เริ่มต้นมาจากสัมพันธภาพระหว่างบุคคล เกิดจากความวิตกกังวลของมารดาถ่ายทอดไปยังบุตร
ประการที่ 2 ความวิตกกังวลสามารถอธิบายและสังเกตได้ บุคคลที่อยู่ในภาวะวิตกกังวล
สามารถบอกได้ว่าเขารู้สึกอย่างไรและแสดงออกทางพฤติกรรมอย่างไร
ประการที่ 3 แต่ละคนจะพยายามดิ้นรนเพื่อขจัดความวิตกกังวล เช่น
ในเด็กจะพยายามเรียนรู้เพื่อหลีกเลี่ยงความวิตกกังวลที่เกิดจากการถูกลงโทษ
และแสวงหาความมั่นคงโดยการยินยอมกระทำตามความปรารถนาของบิดามารดา
Sullivan อธิบายว่า
บุคคลพยายามลดความวิตกกังวลและเพิ่มความมั่นคงให้กับตนเอง Sullivan พยายามเน้นถึงพฤติกรรมที่สังเกตได้ในขณะที่ Freud เน้นกลไกทางจิต
(defense mechanism) ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากความรู้
สึกในจิตไร้สำนึก
การพัฒนาบุคลิกภาพ
ซัลลิแวนได้แบ่งการพัฒนาบุคลิกภาพตามประสบการณ์เป็น 7 ขั้น (ศรีเรือน แก้วกังวาน,2546) คือ
1. ขั้นทารก (Infancy)
อายุแรกเกิด -18 เดือน วัยนี้จะมีความสุข
กับการใช้ปากในการตอบสนองความต้องการอาหารของตนเองด้วยการดูดหรือการเคลื่อนไหวร่างกายด้วยการใช้ประสาทตาสัมผัสกับมือในการดูดนิ้วตนเอง
2. ขั้นวัยเด็ก (Childhood)
อายุ 18 เดือน - 5 เดือน เป็นระยะที่เริ่มหัดพูด ฝึกออกเสียงได้ชัดเจน เริ่มมีเพื่อนและต้องการให้ผู้อื่นยอมรับสถานภาพของตนเอง
3. ขั้นวัยเยาว์ (Juvenile
Era) อายุระหว่าง 5-12 ปี
เป็นวัยที่เข้าโรงเรียน พัฒนาการทางร่างกายเร็วมากเริ่มรู้จักสังคม
มีการร่วมมือและแข่งขัน เรียนรู้ที่จะควบคุมตนอง
4. ขั้นก่อนวัยรุ่น (Pre- Adolescence) อายุ 11-13
ปี เริ่มมีวุฒิภาวะทางเพศ
มีการกล้าแสดงออกมากขึ้นและยังต้องการความเท่าเทียมกับผู้ใหญ่
5. ขั้นวัยรุ่นตอนต้น (Early
Adolescence) อายุระหว่าง 13- 17 ปี
เป็นวัยที่มีความพอใจในเรื่องเพศ ต้องการคบเพื่อนเดียวกันและต่างเพศ
ต้องการความเป็นอิสระไม่อยากพึ่งพาใคร
6. ขั้นวัยรุ่นตอนปลาย (Late
Adolescence) อายุ 17-19 ปี
ร่างกายเจริญเต็มที่ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความรู้และเข้าใจตนเอง
เรียนรู้บทบาทในสังคมได้ดี
7. ขั้นวัยผู้ใหญ่ (Adulthood)
อายุระหว่าง 20-30 ปี
เป็นวัยที่มีพัฒนาการทุกอย่างสมบูรณ์เต็มที่สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นสร้างหลักฐาน
มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่
อ้างอิง :
การสร้างสัมพันธภาพ.(2553).(ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://sirirut2003.blogspot.com/2010/05/blog-post_3537.html
(Jan 28, 2016)
พรรณิดา
ผุสดี. แฮรี่ สแต็ค ซัลลิแวน (Harry Stack Sullivan).(2555).(ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://www.oknation.net/blog/pannida/2012/11/12/entry-7
(Jan 28, 2016)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น